⚠️ ทำไมสงครามในต่างประเทศถึงทำให้ราคาสินค้าในเกาหลีสูงขึ้น?
- Editor H
- Jul 1
- 1 min read

📝 สรุป 3 บรรทัด
สงครามทำให้ต้นทุนวัตถุดิบ พลังงาน การขนส่ง และอัตราแลกเปลี่ยนสูงขึ้น ทำให้ราคาสินค้านำเข้าในเกาหลีแพงขึ้น
ความเสียหายในห่วงโซ่อุปทานและความวิตกกังวลของประชาชนทำให้ราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะสั้น
ปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น การใช้จ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้น ค่าแรงที่สูงขึ้น และสังคมผู้สูงอายุ ยังช่วยผลักดันเงินเฟ้ออีกด้วย
🇰🇷💥 ทำไมสงครามในต่างประเทศถึงทำให้ราคาสินค้าในเกาหลีสูงขึ้น?
ถ้าคุณเคยเห็นข่าวอย่าง “ความตึงเครียดในตะวันออกกลางดันราคาน้ำมันสูงขึ้น” หรือ “สงครามยูเครนทำให้ราคาธัญพืชพุ่ง” อาจฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆ แล้วสงครามเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อค่าครองชีพในเกาหลี แม้จะเกิดไกลแค่ไหน แต่สงครามก็สามารถกระทบราคาสินค้าในเกาหลีได้ทันที
เกาหลีเป็นประเทศที่พึ่งพาการค้าต่างประเทศอย่างมาก ต้องนำเข้าน้ำมัน ก๊าซ ธัญพืช และแร่เกือบทั้งหมด เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ดังนั้นเมื่อใดที่มีสงครามเกิดขึ้น ผลกระทบจะลามไปทั่วเศรษฐกิจเหมือนโดมิโน ทำให้ราคาสินค้าต่างๆ ตั้งแต่ไก่ทอด ขนมปัง ไปจนถึงน้ำมันแพงขึ้น มาลองเจาะลึกกันดู
📈 ราคาวัตถุดิบและพลังงานพุ่งสูงในช่วงสงคราม
นี่เป็นเหตุผลที่ตรงไปตรงมาที่สุดว่าทำไมราคาถึงขึ้น สงครามทำให้การผลิตและการส่งออกในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหยุดชะงักหรือไม่มั่นคง โดยเฉพาะถ้าเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่หรือภูมิภาคที่เป็น “อู่ข้าวอู่น้ำของโลก” ผลกระทบจะยิ่งรุนแรง เมื่อสินค้าพวกน้ำมัน ก๊าซ หรือข้าวสาลีขาดตลาด ราคาก็พุ่งทันที
จำสงครามรัสเซีย–ยูเครนได้ไหม? รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันใหญ่อันดับสองของโลกและเป็นแหล่งก๊าซสำคัญของยุโรป เมื่อสงครามเริ่มและถูกคว่ำบาตร ปริมาณส่งออกก็ลดฮวบ ในต้นปี 2022 ราคาน้ำมันโลกพุ่งเกิน 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เกือบสองเท่าของค่าเฉลี่ย 10 ปีก่อนที่ 50–70 ดอลลาร์ ราคาก๊าซธรรมชาติก็พุ่ง โดยเฉพาะในยุโรป
ยูเครนก็เป็นผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่ของโลก สงครามทำให้เส้นทางส่งออกข้าวสาลีและข้าวโพดถูกปิด ราคาธัญพืชจึงสูงขึ้น เกาหลีต้องนำเข้าของเหล่านี้ทั้งหมด ทำให้ค่าไฟ ค่าก๊าซ ไปจนถึงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและขนมปังแพงขึ้นตาม
🚢📦 ห่วงโซ่อุปทานเสียหายและต้นทุนโลจิสติกส์เพิ่ม
ไม่ใช่แค่ราคาสูงขึ้น แต่บางครั้งสินค้าก็มาถึงไม่ได้เลย สงครามทำให้เส้นทางเดินเรือถูกปิดหรืออันตราย บริษัทต้องหาซัพพลายเออร์หรือเส้นทางใหม่ ซึ่งมักจะแพงกว่า ทำให้ต้นทุนเพิ่ม เกิด “คอขวด” ในห่วงโซ่อุปทาน ดันต้นทุนการผลิตในประเทศสูงขึ้น
บริษัทใหญ่ๆ ของเกาหลีอย่าง Samsung และ Hyundai เจอปัญหาแบบนี้ในช่วง 2022–2023 จากสงครามรัสเซีย–ยูเครน สมาคมการค้าระหว่างประเทศของเกาหลีรายงานว่ากว่า 80% ของผู้ส่งออกเกาหลีเผชิญต้นทุนขนส่งที่สูงขึ้น ภาระสต็อกเพิ่ม และดีเลย์ในการส่งของเพราะห่วงโซ่อุปทานเสียหาย
💸💱 ค่าเงินอ่อนทำให้สินค้านำเข้าแพงขึ้น
สงครามทำให้นักลงทุนตื่นตระหนก รีบซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างดอลลาร์สหรัฐ ความต้องการดอลลาร์เพิ่มทำให้ค่าวอนอ่อนลง—นี่แหละที่เรียกว่า “ค่าเงินอ่อน”
เกาหลีจ่ายเงินค่าสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นดอลลาร์ พอค่าวอนอ่อนก็ต้องจ่ายแพงขึ้นทั้งน้ำมัน ธัญพืช หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และสุดท้ายผู้บริโภคเกาหลีก็ต้องรับภาระราคาที่เพิ่มขึ้น
หลังสงครามรัสเซีย–ยูเครน ค่าเงินวอนต่อดอลลาร์เคยพุ่งถึง 1,440 วอนต่อดอลลาร์ ทำให้น้ำมัน ธัญพืช และชิ้นส่วนนำเข้าแพงยิ่งขึ้น ดันเงินเฟ้อให้สูงขึ้น
🚚📦 สงครามสร้างความไม่แน่นอนด้านโลจิสติกส์และกระตุ้นการกักตุน
สงครามไม่ใช่แค่ทำให้ค่าขนส่งแพงขึ้น แต่ทำให้การขนส่งไม่แน่นอน ท่าเรืออาจถูกปิดหรือเส้นทางต้องเปลี่ยน ความเสี่ยงมากขึ้นทำให้ค่าประกันภัยสูงขึ้นตาม
คนก็เริ่มกลัว กักตุนของใช้ประจำวัน อย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหรือกระดาษชำระ การกว้านซื้อแบบนี้ทำให้ราคาสินค้ายิ่งพุ่งในระยะสั้น
เช่น สงครามในตะวันออกกลางทำให้คนกลัวปัญหาการส่งน้ำมัน ค่าขนส่งสูงขึ้น โรงกลั่นลดการผลิต ผลิตภัณฑ์น้ำมันจึงแพงขึ้น ช่วงวิกฤตน้ำมัน 1973 OPEC จำกัดการส่งออก ทำให้ราคาทั่วโลกพุ่ง เกาหลีที่พึ่งพาน้ำมันมากเห็นเงินเฟ้อพุ่งถึง 24% ในปี 1974
🏦💰 การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มและปริมาณเงินในระบบสูงขึ้น
ช่วงสงคราม รัฐบาลต้องใช้เงินมากขึ้นกับกลาโหมและความช่วยเหลือฉุกเฉิน เรื่องความปลอดภัยต้องมาก่อน ทำให้มักต้องออกพันธบัตรให้ธนาคารกลางซื้อ หรือพิมพ์เงินเพิ่ม
เงินในระบบมากขึ้น คนก็แย่งกันใช้จ่าย ทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น — นี่คือเงินเฟ้อ
เช่น ช่วงสงครามเกาหลี (1950–1953) รัฐบาลพิมพ์เงินเพื่อใช้ในกองทัพ ทำให้เกิดเงินเฟ้อรุนแรง ราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือมากกว่าทุกปีในช่วงสงคราม แม้สงครามจบแล้วก็ต้องใช้เวลานานกว่าเงินเฟ้อจะสงบ
🧓 อัตราการเกิดต่ำ ประชากรสูงวัย และต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น
ยังมีเหตุผลเชิงโครงสร้างที่ทำให้ราคาในเกาหลีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกาหลีเป็นสังคมผู้สูงอายุ แรงงานลดลง ทำให้ค่าแรงเพิ่ม
เมื่อสงครามทำลายห่วงโซ่อุปทาน ปัญหาในประเทศเหล่านี้ยิ่งซ้ำเติมการขึ้นราคา เช่น ฟาร์มในเกาหลีขาดแรงงาน ทำให้ราคาอาหารสูงขึ้น และถ้าราคาวัตถุดิบกับโลจิสติกส์พุ่งเพราะสงคราม เงินเฟ้อก็ยิ่งรุนแรงกว่าเดิม
📌 สรุปสั้นๆ: สงครามในต่างประเทศทำให้ราคาสินค้าในเกาหลีเพิ่มขึ้นด้วยหลายสาเหตุพร้อมๆ กัน:
วัตถุดิบและพลังงานนำเข้าแพงขึ้น
ห่วงโซ่อุปทานเสียหาย ต้นทุนการผลิตและขนส่งสูงขึ้น
ค่าวอนอ่อน ทำให้นำเข้าแพงขึ้น
การกักตุนและปัญหาขนส่งดันราคาพุ่งระยะสั้น
การใช้จ่ายรัฐมากขึ้น ทำให้เงินในระบบเพิ่ม
เกาหลียังเจอปัจจัยเงินเฟ้อภายในเอง เช่น ค่าแรงที่สูงขึ้น และสังคมสูงวัย
สุดท้ายแล้ว ค่าครองชีพโดยรวมก็แพงขึ้น
🌍 สรุปสั้นสุดใน 1 บรรทัด
“ความเสี่ยงระหว่างประเทศอย่างสงครามหรือการคว่ำบาตรไม่ใช่เรื่องของคนอื่น แต่สะท้อนตรงๆ ในราคาของที่เราซื้อใช้ทุกวัน”
สำหรับประเทศที่พึ่งพาการค้าอย่างมากอย่างเกาหลี การบริหารความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทานเป็นเรื่องสำคัญ กลยุทธ์ระยะยาวเช่น การกระจายแหล่งพลังงานและคู่ค้าจำเป็น เพื่อให้มีทางเลือกหลายทาง ถ้าอันไหนล่มก็ยังมีทางอื่นรองรับ